จะรีบไปทำไม เมื่อชีวิตยังมีวันพรุ่งนี้

0

ชีวิตยังมีพรุ่งนี้เสมอ… ถอดคำนี้จากเนื้อเพลงพี่ตูน Bodyslam คำ ๆ นี้ยังใช้ได้เสมอในช่วงอกหัก รักคุด มองไปทางไหนก็ไม่เห็นใคร และก็รวมถึงการทำงานที่ผมมักจะเอาไว้พูดกับน้อง ๆ ในทีม การที่เราทำธุรกิจที่อยากจะให้ประสบความสำเร็จได้นั้น ทุกอย่างต้องเป็นไปตามแผนที่วางไว้ และแผนเหล่านั้นมักจะมี Time line เป็นตัววัดว่างานที่เราได้ตั้งไว้ ครบกำหนดที่จะได้ลุยต่อไปเฟสต่อไปหรือยัง

แน่ละการทำงานบางสิ่ง บางอย่างมักใช้เวลา (Something take time) เราไม่สามารถที่จะบัดดลให้มันออกได้ในช่วงเวลาชั่วครู่ ถึงแม้เราจะพยายามให้ทำงานจนถึงดึกดื่นแค่ไหน เราถ้าร่างกายเราไม่ไหว ผลลัพธ์มันก็จะออกมาตามความรู้สึกของร่างกายช่วงนั้น ยิ่งถ้าช่วงเวลานั้นใกล้ Deadline ที่จะส่งงานมากที่สุด เรามักจะเร่งรีบในการทำงาน จนมองข้ามจุดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไป

และถ้างานมีจุดผิดพลาด ส่งมอบไปถึงมือลูกค้าและลูกค้าเห็นขึ้นมา ในเคสที่ลูกค้ารู้จักกันมานาน ก็พอประณีประณอมกันได้ แต่ถ้าเป็นลูกค้าเจ้าใหม่ ที่เราเพิ่งดีลงานกันครั้งแรก และหวังจะได้ร่วมงานกันนาน ๆ มันก็จะเป็นความไม่น่าประทับใจอย่างนึงสำหรับลูกค้าและก็จะมีจุดนึงสำหรับการเรียกใช้บริการในครั้งถัดไป เท่ากับเป็นการสูญเสียรายได้ และโอกาสที่จะได้เป็นพาทเนอร์กัน

แต่ก็อาจจะมีประเด็นที่แย้งมาได้เช่นกัน อย่างเช่นการไม่บังคับให้ลูกน้องทำงานให้เสร็จทันเวลาแล้วงานจะส่งมอบได้อย่างไร หรือถ้าวันนี้ไม่เสร็จแล้วมาทำพรุ่งนี้จะเป็นการผลัดวันประกันพรุ่งหรือป่าว อันนี้ผมไม่เถียงแต่ก็ขอให้การใช้งานลูกน้องนั้น อย่างลืมเรื่อง การที่จะพัก จงเรียนรู้การที่จะพัก เพื่อเป็นการชาร์จพลังขึ้นมาใหม่ และพร้อมในการลุยงานต่อให้เสร็จ โดยที่ไม่ทิ้งให้งานพังและงานสามารถที่จะทำงานอย่างอื่นต่อไปได้ เหมือนคำ ๆ นึงที่ผมได้บังเอิญเจอมาก่อนที่จะมาเขียนบทความนี้คือ If you get tried, learn to rest not to quit

สิ่งสุดท้ายที่สำคัญก็คือการบริหารจัดการ ให้งานสำเร็จตามเป้าหมาย โดยที่สามารถให้ลูกน้องผลิตผลงานให้ดีที่สุด เพื่อที่ธุรกิจของคุณจะได้ประสบความสำเร็จดังหวัง เพราะไม่มีใครที่สามาถดำเนินธุรกิจได้ด้วยตัวคนเดียว โดยขาดความร่วมมือร่วมใจของคนในองค์กร