เมื่อมาตราการ การท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจไม่มากพอ

เที่ยวด้วยกัน” ที่หวังว่าจะเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ0

มาตราการ การท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจไม่มากพอ ในยามที่ไม่เราสามารถเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่าง่ชาติได้สืบเนื่องมากจากการระบาดของโควิท ที่ทำให้เกือบทุกประเทศต้องประกาศปิดน่านฟ้า ทำให้มาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ภายใต้ชื่อ “เที่ยวด้วยกัน” ที่หวังว่าจะเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ เราจึงต้องพึ่งพาคนในประเทศในการออกมาใช้เงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะว่าไปไม่ได้กระทบเพียงแค่ไทยเราเท่านั้น แต่ยังกระทบไปทั่วทั้งโลก ซึ่งผู้ประกอบกิจการเสี่ยงต่อการล้มละลายทั้งโรงแรม สายการบิน ร้านอาหาร

หลังจากที่ดำเนินการให้ประชาชนได้ลงทะเบียนและประเมิณมาแล้วนั้น กับการที่คนไทยท่องเที่ยวภายในประเทศ เพื่อหวังให้เศรษฐกิจฟื้นตัว ช่วงแรกก็สร้างความคึกคักและ ประชาชนได้มีโอกาสไปท่องเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ เราได้เห็น โรงแรมขยับแจกโปร ลด แลก แจก แถม โรงแรมห้าดาวบางแห่งยังลดราคาลงมากถึง 70-80% กันเลยทีเดียว จากราคาหลักหมื่นเหลือหลักพัน เพื่อเป็นการให้พยุงตัวเองและลูกจ้างไปในตัว ดีกว่าปล่อยทิ้งไว้อย่างเปล่าประโยชน์ เราจะได้เห็นได้เลยว่าการเที่ยวกันเองบางจังหวัดดูเหงาไปถนัดตา บางจังหวัดซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวก็ดึงดูดได้ประมาณนึง เมื่อภาครัฐ พยายามเต็มที่ในการ กระตุ้นเศรษฐกิจให้อยู่รอดในช่วงนี้ แต่คงไม่ใช่ในระยะยาวอย่างแน่นอน

เมื่อเราไม่สามารถรับนักท่องเที่ยวที่เป็นต่างชาติได้ สิ่งที่เป็นผลกระทบแบบเห็นได้ชัดเลยก็คือ รายได้จากการท่องเที่ยวลดลง ทั้งโรงแรม บริษัทนำเที่ยว สถานบันเทิง ร้านอาหาร ต่างมีปัญหาด้านสภาพคล่องทั้งนั้น และบางกิจการอย่างโรงแรมต้องปิดชั่วคราว เนื่องจากไม่สามารถบริหารสภาพคล่องได้ อีกหนึ่งกิจการที่เดือดร้อนอย่างหนัก ก็คือสายการบิน เมื่อทุกประเทศปิดรับนักท่องเที่ยว สายการบินก็จำเป็นต้องปลดพนักงาาน บางสายการบินถึงขนาดต้องปิดตัวลงอย่างเช่น นกสกู๊ต ส่วนสายการบินหลักบ้านเราอย่าง การบินไทย นี่ก็เข้าขั้นแย่ แย่ยังไงคิดว่าทุกคนน่าเคยเห็นข่าวมา ต้องปรับกลยุทธ์หันไปขายของกินแทน ในช่วงที่ปิดการเดินทางจากต่างประเทศ ขณะที่สายการบินอื่น ๆ ก็ให้พนักงาน Leave without pay เพื่อช่วยกันให้ฝ่าฝันอุปสรรรคครั้งนี้ไปให้ได้



ทั้งนี้มีการคาดการณ์กันว่ารายได้จากชาวต่างชาติ ลดลงจากปีก่อนสูงถึง 96% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ถ้าประมาณการตลอดทั้งปี 2563 อาจจะลดลงจากปีก่อนถึง 69% เช่นกันเมื่อเทียบกับปีที่แล้วทั้งปี โดยตีเป็นเงินประมาณ 6 แสนกว่าล้านบาทเลยทีเดียว

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่รัฐบาลเริ่มมองหาการนำนักท่องเที่ยวจากชาวต่างชาติ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งเดือนนี้ก็เริ่มแล้วที่จะทดลองรับนักท่องเที่ยวภายใต้ระเภทพิเศษ Special Tourist VISA (STV) หรือ การเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้แบบจำกัดจำนวน และต้องอยู่ภายใต้การกักตัว 14 วันก่อนออกเดินทาง นักท่องเที่ยวกลุ่มแรกที่เข้ามาคือ นักท่องเที่ยวจีนจากเมืองกว่างโจว ที่เป็นเมืองกว่างโจวก็เพราะว่าเมืองนี้ปลอดเชื้อมานานหลายเดือนแล้ว และจะมีตามมาอีกหลายประเทศจากการประกาศของรัฐบาล และจังหวัดแรกที่จะเปิดรับนั่นก็คือ ภูเก็ต

ต้องยอมรับว่าภูเก็ตเป็นจังหวัดที่พึ่งพานักท่องเที่ยวเป็นอันดับ 1 โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ และจากการที่มีโอกาสได้คุยกับเพื่อนที่อยู่ภูเก็ต เราจะรับรู้ได้ทันทีเลยว่าคนที่นั่นเดือนร้อนมากแค่ไหนกับการไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาที่จังหวัดเลย จะเห็นร้านค้าประกาศขาย คนกลับภูมิลำเนาบ้านเกิด

ถ้ามองในมุม ผู้ประกอบการก็อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ที่เราสามารถรับนักท่องเที่ยวเข้ามาได้ เงินจะได้หมุนเวียนกันมากขึ้น เศรษฐกิจก็จะได้เดินกันต่อ ถึงแม้จะทีละเล็กละน้อย ตามเศรษฐกิจโลก แต่ในขณะเดียวกันมุมของประชาชนคนไทยก็จะรู้สึกถึงความปลอดภัยเพราะว่าตอนนี้ คนที่ติดเชื้อก็ติดมาจาก State Quarantine ทั้งนั้น และถ้าผลตอบรับดีขึ้น ประเทศไม่ติดเชื้อภายใน จะดำเนินการลดวันใน State Quarantine โดยอาจจะไม่ต้องกักตัว คราวนี้ประชาชนจะต้องเกิดความรู้สึกแล้วว่าปลอดภัยหรือไม่ กับการรับนักท่องเที่ยวโดยไม่ต้องกักตัว เรื่องนี้อาจจะต้องฝากให้เก็บไปคิดทบทวนให้ดีก่อน เพราะถ้าเกิดหลุดมา รอบนี้ อาจจะควบคุมไม่ได้เหมือนหลาย ๆ ประเทศที่เผชิญกับการระบาดรอบที่สอง

ตอนนี้คือการเลือกว่า เราคนไทยมีโอกาสที่จะติดเชื้อโควิทเพิ่มมากขึ้น จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือตัวเราจะไม่เสี่ยง และปล่อยให้เศรษฐกิจค่อย ๆ ตายอย่างช้า ๆ โดยยังไม่เปิดประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าอนาคต จะกลายเป็นวงกว้างอย่างแน่นอน และจากการคาดเดา Business recover คงอาจจะไม่ใช่ปีหน้า แต่อาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปีเลยทีเดียว