ในรอบเดือนที่ผ่านมาหลังจากปลดล็อคโควิท ที่เรียกได้ว่าแทบจะครบทุกเฟส จนการดำเนินชีวิตมาเป็นปกติสุขอีกครั้ง คนค้าขาย ได้กลับมาขายอย่างเต็มที่ คนทำงานออฟฟิตก็กลับเข้ามาประจำการ ถึงแม้อาจจะมีบางบริษัทได้ให้พนักงานได้ Work From Home กันต่อไป (ยินดีด้วย) ส่วนนักเรียนก็กลับมาเรียนที่โรงเรียน ได้พบปะ ครูบาอาจารย์ และเพื่อนนักเรียนที่เรียน ได้เล่น สนุกไปด้วยกัน แต่สิ่งหนึ่งที่กลับมาพร้อมกับความปกติสุข นั่นก็คือ รถ!!!!
ใช่แล้ว รถ นั่นเอง ที่เป็นหัวข้อจั่วหัวสำหรับคอนเท้นนี้ขึ้นมา เพราะอะไรนะหรอ ไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุ แต่เพราะระบบการสัญจรในช่วงเวลาเร่งรีบยามเช้าที่คนทำงานจะต้องเข้างานให้ทัน หรือว่ามีนัดลูกค้าไว้ แล้วต้องไปให้ทัน หรือยามเย็นที่อยากจะกลับบ้านไว ๆ ซึ่งโดยส่วนมากก็จะใช้พาหนะในการเดินทาง แล้วรถก็เป็นหนึ่งในนั้น เราจะสังเกตุได้เลยว่าเช้า ๆ ที่เราเคลื่อนตัวออกจากบ้าน เราจะพบได้เลยว่า ครึ่งชั่วโมง เราขยับได้ไม่ถึง สามกิโล ถ้าเป็นนักวิ่ง ก็จะวิ่งไปแล้วในระยะทาง ห้ากิโล บวก ลบ นิดหน่อย ในช่วงเช้าผมใช้เวลาในรถยนต์จากบ้านไปที่ทำงาน ในระยะทางไม่เกิน 16 กิโลเมตร คือ 1 ชั่วโมง 45 นาที ใช่แล้วครับอ่านไม่ผิด ในเวลา 1 ชั่วโมง 45 นาที ผมได้ใช้เวลาในการอ่านข่าวสารไปเรื่อย ๆ จนพบข่าว ข่าวนึง ที่เป็นที่มาของหัวนี้นั่นก็คือ “รถบินได้”
ใช้แล้วครับ รถบินได้ ซึ่งมันจะไม่ได้เป็นแค่ความฝันอีกต่อไป จากสมัยเด็ก ๆ ที่อาจจะเห็นว่ามีอยู่ในการ์ตูนอย่างเช่น The Jetson หรือว่าการ์ตูนคลาสสิคอย่าง Dragon ball ที่แคปซูนและแปลงมาเป็นยานที่บินได้ เราอาจจะไม่ได้คิดไรมาก เพราะว่านั่นก็คือการ์ตูน ซึ่งต่างจากชีวิตที่เป็นอยู่จริง
แต่แล้วก็มีข่าวว่าบริษัทสตาร์ทอัพของญี่ปุ่นประสบความสำเร็จในการทดสอบรถบินได้ขนาดเล็กที่สุดในโลก และพร้อมที่จะเปิดให้บริการในอีก 3 ปีข้างหน้า (ไม่รู้ว่าจะทำได้ทันหรือป่าว) แต่อย่างน้อยข่าวอันนี้ก็ทำให้เราได้หันมามองและคิดอีกว่า เทคโนโลยี ทุกวันนี้มันช่างรวดเร็วเหลือเกิน ซึ่งผมได้ลองเสิจหาข้อมูลรถบินได้และพบว่า ญี่ปุ่นไม่ใช่ประเทศแรกที่ทำรถบินได้ แต่มีบริษัทจาก เนเธอร์แลนด์ ชื่อว่า Pal-V ได้ผลิตรถยนต์บินได้ขึ้นมา ซึ่งทาง Pal-V ก็ได้มีการจัดจำหน่ายไปบ้างแล้ว หรืออย่างเมื่อต้นปี ก็มีข่าว โตโยต้า ทุ่มเงินกว่า 400ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว หมื่นล้านกว่าบาท ในการลงทุนในบริษัทโจบี เอวิเอชัน (Joby Aviation) สำหรับความร่วมมือกันในการผลิตรถยนต์บินได้
โดยโมเดลรถบินได้ที่เราเห็นนั่นก็คือจะมีใบพัดค่อย เมื่อกางใบพัดออกมา ก็จะสามารถบินได้คล้ายเฮลิปคอปเตอร์ และนำพาทุกคนไปยังจุดหมายปลายทาง
ยกตัวอย่างของบริษัท PAL-V เป็นยานพาหนะที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยสามารถสัญจรได้ทั้งทางบกและทางอากาศ รถบินได้นี้ผู้ขับสามารถเปลี่ยนโหมดการขับเคลื่อนจากรถยนต์ โดยบริษัท PAL-V เริ่มจำหน่ายรถบินได้นี้ให้ผู้สนใจได้สั่งจองแล้ว โดยเปิดตัวและพร้อมส่งมอบสินค้าเมื่อปี 2018 สำหรับโหมดรถยนต์ทำความเร็วได้สูงสุดถึง 100 ไมล์/ชั่วโมง เร่งจาก 0-62 ไมล์/ชั่วโมง ในเวลา 9 วินาที ส่วนโหมดเครื่องบินทำความเร็วสูงสุดได้ 112 ไมล์/ชั่วโมง และบินระยะได้ไกลสุด 310 ไมล์ ไต่ระดับได้สูงสุดถึง 3,500 เมตรโดย
อีก 1 บริษัทที่ผลิตรถบินได้ที่เราขอยกตัวอย่างนั่นก็คือ บริษัท AeroMobil เป็นรถยนต์ 4 ล้อ และพร้อมทะยานบินขึ้นสู่ท้องฟ้า ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์แบบไฮบริด โดย AeroMobil ได้ผลิตออกมาถึง 2 รุ่นด้วยกัน เริ่มศึกษาค้นคว้าวิจัยตั้งแต่ปี 1990 กันเลยทีเดียว โดยรุ่นแรกมีชื่อว่า AeroMobil 1.0 ถูกพัฒนาขึ้นในปี 1990 แต่คาดว่าไม่น่าจะทำออกมาขายได้ ต่อมาปี 2014 พัฒนาเป็นรุ่น 3.0 และเตรียมการขายภายในปี 2017
นั่นคือรถในฝันที่ผมคิดว่าหลาย ๆ คนก็อยากได้มาครอบครอง แต่ช้าก่อน ก่อนที่จะฝันไปไกล เรากลับมานึกถึงความเป็นจริงกันสักนิดก่อน เพราะการจะขับรถบินได้นั้นไม่ใช่แค่ใช้ใบขับขี่แล้วจะออกไปบินกันได้เลย ประเทศเนเธอร์แลนด์นั้น การจะให้คนเข้าไปขับเจ้ารถนี่ ไม่ได้ง่าย ๆ นะครับ เค้าจะต้องมีการฝึกอบรมพิเศษ เพราะถ้าไม่ได้เรียนอบรถ หรือ ถูกฝึกพิเศษ การขับเจ้ารถบินได้นี่จะเป็นปัญหาอย่างแน่นอน อาจจะไปตกอยู่บนหลังคารถไม่คันใดก็คันนึง นอกจากนี้ เราจะต้องดูเรื่องกฎหมายบ้านเราว่าจะรองรับเจ้าเทคโนโลยีตัวใหม่นี้ยังไงดี เพราะถ้าผลิตออกมามี 2 ล้อบ้าง 3 ล้อ บ้าง คงได้ไปดูกฎหมาย ข้อบังคับจราจร กันสนุกแน่นอน เนื่องจากว่าในขณะนี้หลายประเทศยังไม่มีระเบียบที่ชัดเจนเกี่ยวกับการใช้รถบินได้สัญจรทางอากาศ เช่น พื้นที่ลงจอดรถ หรือการควบคุมการจราจรทางอากาศ แล้วยิ่งประเทศไทยคงต้องเป็นเรื่องที่ดูกันอีกยาวเลยทีเดียว อีกอย่างหนึ่งคือด้านราคา ราคาที่บริษัทอย่าง Pal-V ตั้งมานั้นก็อยู่ในระดับเกือบ 20 ล้านทีเดียวเชียว
สุดท้ายไม่ว่ารถบินได้จะเกิดจริงหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่น่าคิดนั่นก็คือ เทคโนโลยี ก้าวไปเร็วกว่าที่เราคิดไว้มาก สิ่งที่เคยคิดไว้ว่าอาจจะมีแค่ในการ์ตูน หรือไม่มีทางเกิดขึ้นจริง อาจจะต้องปรับเปลี่ยนกันใหม่ สิ่งสำคัญคือตัวเราต้องพร้อมที่จะก้าวไปให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หรือนำหน้าอยู่เสมอ ไม่งั้นตัวเรานั่นแระจะถูกทอดทิ้งไว้เบื้องหลังของการเปลี่ยนแปลง