เมื่อมนุษย์กลายเป็นเครื่องจักร

คนหรือเครื่องจักร0

เมื่อเทคโนโลยีล้ำหน้าอย่างก้าวกระโดด ระบบ Machine Learning ทำให้ เครื่องจักร สามารถเรียนรู้ได้ สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลดิบเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ สามารถผู้คุยกับมนุษย์ และแม้กระทั่งล่าสุด เจ้าสมองประดิษฐ์ AI ก็สมารถเขียนบล็อคได้ จนกระทั่งมีคนหลงเชื่ออย่างมากมาย

ในขณะที่ความหน้าตื่นตาตื่นใจกับเทคโนโลยีที่กำลังจะเหมือนมนุษย์ขึ้นทุกวัน

มนุษย์ก็กำลังจะกลายเป็นเครื่องจักรไปเสียเอง

ใช่แล้วครับ… ในขณะนี้ เมื่อเรามองย้อนกลับมายังความเป็นอยู่ของมนุษย์ เรากำลังลุ่มหลงความสามารถของเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก เราแทบจะไม่สามารถหยุดการเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตได้อีกแล้ว เรากำลัง upload ชีวิตของเราสู่สาธารณะเป็นประจำ และ download สถานะการณ์ประจำวันลงสู่สมองของเราอยู่ทุกเช้า

เราค้นหาคำตอบด้วย google แทนที่จะหันไปคุยกับเพื่อนข้างๆ เพราะความรอบรู้ในข้อมูลของเพื่อน น่าจะมีประสิทธิภาพต่ำกว่า google ในมือถือของเรา โดยที่เรากำลังกลายเป็นมนุษย์หุ่นยนต์ที่มองหาประสิทธิภาพสูงสุดให้กับตัวเอง 

สิ่งที่ทำให้ผมฉุกคิดเกิดเมื่อไม่กี่วันนี้ครับ ระหว่างที่กำลังจะออกไปวิ่ง เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเรา .. ณ จุดออกตัวเตรียมพร้อม … ผมก้มหน้าก้มตาตั้งโหมดการวิ่งของวันนี้ พร้อมกับเกิดบทสนทนา สั้นๆ บางอย่างกับเพื่อน

“เราจะวิ่งกี่กิโลเมตรดีวันนี้” คำถามเคยชิน ที่จะถามเพื่อ set ระยะทางการวิ่ง และได้รับคำตอบว่า “6 กิโลเมตร” จากเพื่อนผม

“วิ่งกี่นาทีดี” ผมถามเพิ่ม เพื่อกำหนดความเร็วที่จะวิ่งให้เหมาะสมกับการเผาผลาญไขมันจากพุงส่วนเกินของผม

“Pace 10 mins/km , ก็ 1 ชั่วโมงพอดี ชิวๆ โซน 2” คำตอบจากเพื่อนของผม ซึ่งหากท่านผู้อ่านเป็นนักวิ่ง ก็คงจะเข้าใจได้ทันที ความเร็วเท่านี้วิ่งได้สบายๆ

จับอัตราหัวใจ
จับอัตราหัวใจ

ในขณะวิ่ง หากผมวิ่งเร็วเกิน เสียงจากโปรแกรมที่ตั้งไว้ก็จะดัง “หัวใจคุณจะเต้นเร็วเกินไปแล้วนะ” การเผาผลาญไขมันจะมีประสิทธิภาพน้อยลง เพราะร่างกายจะเปลี่ยนไปใช้แคลอรี่ในการเผาผลาญเพื่อส่งกำลัง ผมก็จะต้องลดรอบขา เพื่อคงระดับความเร็วให้เหมาะสม  หรือหากผมวิ่งช้าเกินไป สัญญาณจากเจ้าโปรแกรมก็ดังเตือนให้เร่งฝีเท้ามากขึ้น และอย่าลืมให้กำหนดลมหายใจ บลาๆ บลาๆ

“นี่เรากำลังกลายเป็นเครื่องจักรหรือเปล่านะ” เสียงในหัวผมเริ่มดังขึ้นมา เพราะในทุกวันนี้การออกกำลังกาย เราจะต้องวางแผน เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด เรารู้ว่านี่จะเป็นเรื่องดีต่อร่างกายอย่างที่สุด เราไม่ได้เสียอะไรเลยนี่หน่า

ใช่ครับ เราไม่เสียอะไรเลยนี่ … แต่เรื่องนี้กลับฝังอยู่ในความคิดของผมนานหลายวัน จนเป็นสัปดาห์ จนกระทั่งอ่านข่าวเจอเกี่ยวกับพวกสมองปัญญาประดิษฐ์ ที่กำลังจะเข้ามาแทนที่มนุษย์ และมันจะทำได้ดีกว่ามนุษย์เสียอีก 

ถึงวันนี้ สิ่งที่นักวิชาการบอกว่า A.I. ซึ่งมีตัวย่อจากคำว่า Artificial Intelligence โดยแปลตรงตัวได้ว่า ปัญญาประดิษฐ์ นั้นจะมาแทนที่มนุษย์ คงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอย่างแน่นอน ตราบใดที่งานที่คุณทำ ไม่ได้ใส่ความเป็นมนุษย์ลง ทำงานด้วยขั้นตอนซ้ำๆ คงจะไม่มีความหมายอีกต่อไป 

หากใครยังจำได้เมื่อปี 2015 มีข่าวฮือฮาสนั่นวงการเทคโนโลยี เมื่อเจ้า A.I. ชื่อ AlphaGo (อัลฟาโก) สามารถเล่นชนะ เกมหมากล้อม จากแชมป์ลำดับ 1 ของโลกได้ กลายเป็นหุ่นยนต์ที่เก่งหมากล้อมที่สุดของโลกไป ในวันนี้นั้น AlphaGo มีทายาทที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าเดิมหลายเท่าตัว ด้วยการสร้าง A.I. อีกตัวมาแข่งกันเอง และเรียนรู้เองจากเกมของคู่ต่อสู้ กลายเป็นว่า ณ วันนี้ คนไม่มีความจำเป็นต่อการพัฒนาเจ้า AlphaGo อีกต่อไป และมันพัฒนาด้วยความรู้ของตัวมันเอง

อัลฟ่าโกะ
อัลฟ่าโกะ

AlphaGo จึงถูกพัฒนาต่อเป็น แอพพลิเคชั่น ฝึกนักเล่นหมากล้อมให้เก่งแทน … ดูสิครับ ตอนนี้หุ่นยนต์กลับมาสอนมนุษย์แทนแล้วล่ะสิ

สุดท้าย หากเรากลายเป็นเครื่องจักรควบคุมอัตราการเต้นหัวใจและวิ่งได้ดีดั่งต้องการ เราก็ไม่มีทางวิ่งได้ไกลกว่าหุ่นยนต์ที่ไม่มีวันเหนื่อย หรือต่อให้เรามีมันสมองความจำอันดีเลิศ ก็ยังพ่ายแพ้ต่อหุ่นยนต์เพิ่มความจำได้เรื่อยๆ 

และหากการทำงานของมนุษย์ยังการใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ไม่ต่างกับหุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมให้ตื่นเช้า ทำงาน กลับบ้าน และนอน ผู้คนไม่น้อยที่กำลังติดอยู่ในวงจรดั่งเช่นหุ่นยนต์ ก็จะค่อยๆ ลืมเลือนจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์ลงไป และทางออกเดียวคือ ตามหาจิตวิญญาณที่จะเติมแต่งในสิ่งที่หุ่นยนต์ยังไม่มีให้เจอครับ

Entrepreneurship, Credit Analyst, Marketing Executive, Strategic Planning Director and Investor - และทุกวันนี้ ผมยังเป็นนักเรียน ทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงการตลาดนั้นไม่เคยหยุดนิ่ง ฉะนั้นแล้วเราจะต้องไม่หยุดที่จะเรียนรู้

Related Posts